น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนโยบายการเพิ่มรายได้ 300 บาทว่า
แท้จริงแล้วเราไปคุยกันเรื่องการตีความตัวอักษรมากกว่า
แต่อย่างไรแล้วเราก็ต้องการให้ผู้ใช้รายงานพี่น้องประชาชนมีรายได้ 300 บาท เราอยากให้ดูที่ผลการกระทำจะดีกว่า
เพราะบางครั้งเราไปคุยในตัวอักษรอาจจะทำให้ไปเน้นในเรื่องการตีความเกินไป
แต่ผลลัพธ์เราต้องการที่จะให้ผู้ใช้รายงานนั้น ได้รับรายได้มากขึ้น
วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2555
"ยิ่งลักษณ์" โยนสภาฯ กำหนดกติกาปรองดอง
ที่รัฐสภา 28 มี.ค.
2555 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
กล่าวถึงกรณีเหตุการณ์ความวุ่นวายในที่ประชุมร่วมรัฐสภาวานนี้(27มี.ค.)
ที่พรรคฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยกับการเลื่อนวาระเรื่องความปรองดองของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติขึ้นมาพิจารณา
จะส่งผลทำให้นำไปสู่ความปรองดองได้จริงหรือไม่ว่า ส่วนตัวมองว่า
อยากให้บรรยากาศของการหารือเรื่องปรองดองได้เสนอแนวคิดทุกรูปแบบ
ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะการเคารพกติกาของคนส่วนใหญ่
แต่แน่นอนอย่างไรก็ต้องเคารพกติกาของคนส่วนน้อยด้วย และตนยืนยันว่า สภาฯเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการที่จะใช้กลไกตามระบอบประชาธิปไตยที่จะมาหารือถึงทางออกของประเทศ
ทั้งนี้ตนเชื่อว่าขั้นตอนการหารือสร้างความปรองดองและหาทางออกให้กับประเทศยังมีอีกหลายขั้นตอน
ไม่ใช่ว่าวันนี้จะจบแล้ว เพราะต้องดูที่เนื้อหาและรายละเอียดอีกครั้งว่าจะเป็นอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกตว่าหลังจากนี้รัฐบาลจะออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรม จะชี้แจงอย่างไร น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นเรื่องของสภาฯ ที่จะเห็นชอบและหารือร่วมกัน ตนเป็นเพียงหนึ่งเสียงในสภาฯเท่านั้น แต่ที่สำคัญตนเชื่อว่า ส.ส.และส.ว.ก็ต้องทำเพื่อเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน
วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555
มาตรการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55
นโยบายรับจำนำข้าวที่กำลังจะ “เปิดโครงการ” ในวันที่ 7 ต.ค. นี้ กำลังถูกจับตามองว่ารัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” จะสามารถขจัดข้อครหาเกี่ยวกับปัญหาทุจริตที่เกิดขึ้นซ้ำซาก ปัญหาการบริหารจัดการสต็อกข้าว ปัญหาขีดความสามารถแข่งขัน ปัญหาราคาข้าวในประเทศแพง และที่สำคัญชาวนาจะได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน โดยเฉพาะในสถานการณ์น้ำท่วม นาล่ม ไม่มีข้าวไปจำนำ
ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 ต.ค. ที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รายงานการขึ้นทะเบียนเกษตรผู้ปลูกข้าวนาปี ฤดูกาล 2554/55 (ไม่รวมภาคใต้) เพื่อเข้าโครงการรับจำนำข้าวที่เริ่มในวันที่ 7 ตุลาคม 2554 – 29 กุมภาพันธ์ 2555 พบว่า มีเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนแล้ว 3,260,685 ครัวเรือน พื้นที่ประมาณ 59.78 ล้านไร่
แต่ขณะนี้กระทรวงเกษตรฯ ดำเนินการผ่านขั้นตอนการประชาคมแล้ว 1,628,357 ครัวเรือน หรือคิดเป็น 50% พื้นที่ 33.39 ล้านไร่ และได้ออกใบรับรองแล้ว 459,401 ครัวเรือน พื้นที่ 9.6 ล้านไร่ ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯได้ประมาณการผลผลิตข้าวจากการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ฤดูกาล 2554/55 มีจำนวนทั้งสิ้น 25.8 ล้านตัน โดยจำนวนปริมาณข้าวที่คาดว่าจะเสียหายจากปัญหาอุทกภัยจะมีอยู่ประมาณ 3.07 ล้านตัน ดังนั้น ปริมาณข้าวนาปี 2554/55 คาดว่ามีคงเหลือประมาณ 22.73 ล้านตัน
หลักเกณฑ์การดาเนินการโครงการรับจานาข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2554/55
ธ.ก.ส.มุกดาหาร ยังคงเดินหน้าจำนำข้าวเปลือกนาปีปีการผลิต 2554/55 ตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่งจนถึงวันที่ 31 มกราคม 2555 มีเกษตร จำนำข้าวเปลือกไปแล้ว กว่า 3 พันราย ปริมาณข้าวกว่า 7 พันตัน เงินกว่า 142 ล้านบาท
( 6 ก.พ.55) นายชวลิต การรื่นศรี. ผู้อำนวยการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. จังหวัดมุกดาหาร เปิดเผย ผลการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปีการผลิต 2554/2555 ตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้เกษตรกรขายข้าวเปลือกคุ้มกับการลงทุน ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากพ่อค้าคนกลาง อีกทั้งเพื่อเพิ่มทางเลือกให้เกษตรกร ได้มีช่องทางการตลาดเพิ่มขึ้น โดยมีกำหนดระยะเวลาดำเนินการรับจำนำ ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2554 ถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2555 และกำหนดไถ่ถอนจำนำ และชำระเงินกู้ ภายใน 4 เดือน นับถัดจากเดือนรับจำนำข้าวเปลือก ซึ่งจากผลการดำเนินการรับจำนำข้าวเปลือกตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2554 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2555 มีเกษตรกร นำข้าวเปลือกมาจำนำกับ ธ.ก.ส.มุกดาหาร ทั้งสิ้น 3,017 ราย ปริมาณข้าวเปลือก 7,455 ตัน จำนวนเงิน 142,820,000 บาท โดยแยกเป็นการจำนำข้าวเปลือกหอมมะลิ 2,824 ราย ปริมาณข้าวเปลือก 7,122 ตัน จำนวนเงิน 137,590,000 บาท และรับจำนำข้าวเปลือกเหนียว จำนวน 193 รายปริมาณข้าวเปลือก 333 ตัน จำนวนเงิน 5,230,000 บาท ซึ่งการดำเนินการรับจำดังกล่าว เป็นการรับจำนำใบประทวนสินค้าทั้งหมด
ผู้อำนวยการ ธ.ก.ส.จังหวัดมุกดาหาร กล่าวว่า เกษตรกรที่จะจำนำข้าวเปลือก ตามนโยบายของรัฐบาล สามารถเลือกช่องทางการรับจำนำได้ 2 ช่องทางคือ การรับจำนำใบประทวนสินค้า โดยเกษตรกรต้องนำข้าวไปส่งที่โรงสีที่เข้าร่วมโครงการที่มีธงฟ้า แล้วนำใบประทวนมาติดต่อทำสัญญาที่ ธ.ก.ส. โดยไม่จำกัดจำนวน แต่ต้องเป็นข้าวเปลือกที่เกษตรกรปลูกเองในปีการผลิต 2554/55 และต้องมีหนังสือรับรองเกษตรกร ของกรมส่งเสริมการเกษตร โดยเกษตรกรไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมและดอกเบี้ยเงินกู้ใด ๆทั้งสิ้น ส่วนวิธีที่ 2 คือรับจำนำข้าวเปลือกที่ยุ้งฉางเกษตรกร โดยข้าวหอมมะลิ ความชื้นไม่เกิน 15 % ตันละ 20,000 บาท ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาวตันละ 16,000 บาท ข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดสั้น ตันละ 15,000 บาท
ทั้งนี้ ธ.ก.ส.จะจ่ายเงินให้เกษตรกร โดยโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของเกษตรกรแต่ละรายโดยตรง เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์
จัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้โรงเรียน
โดยเริ่มทดลองดำเนินการในโรงเรียนนำร่อง สำหรับระดับประถมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2554 ควบคู่กับการพัฒนาเนื้อหาที่เหมาะสมตามหลักสูตรบรรจุลงในแท็บเล็ต รวมถึงทำอินเตอร์เน็ตไร้สายในระดับการให้บริการและในพื้นที่สาธารณะ รวมถึงสถานศึกษาที่กำหนดฟรี
เหตุไฉนจึงกลายเป็น MOU แจกแท็บเล็ต 9 แสนเครื่อง?
….เกศกาญจน์ บุญเพ็ญ
ณ เวลานี้แน่ชัดแล้วว่าการจัดซื้อคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตแบบพกพา ในโครงการ One Tablet Pc Per Child ตามที่รัฐบาลได้ประกาศเป็นนโยบายเร่งด่วน เพื่อแจกเด็กประถมศึกษาปีที่ 1 ทั่วประเทศ จำนวนประมาณ 9 แสนเครื่อง ซึ่งใช้งบประมาณ 1,600 ล้านบาทนั้น
ขณะนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร ที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 20 มี.ค.2555 ที่ผ่านมา ได้มีมติเห็นชอบปรับเปลี่ยนวิธีการจัดซื้อมาเป็นการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ หรือ MOU กับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน แทนการใช้ระบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (Government to Government) หรือ จีทูจี ซึ่งก่อนหน้านั้นเดือน ก.พ.ครม.เคยมีมติให้ดำเนินการในรูปแบบจีทูจี โดยมอบให้กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) ทำหน้าที่ในการลงนามในบันทึกข้อตกลง ขณะที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ดำเนินการในการจัดซื้อ ซึ่งการปรับเปลี่ยนดังกล่าวเป็นไปตามข้อหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ไอซีที กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) และคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ (กวพ.) เพื่อขอจัดซื้อโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการประมูลผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อี-ออกชัน ทั้งนี้ การจัดซื้อดังกล่าวทาง กต.จะเป็นผู้ลงนามใน MOU และไอซีทีจะเป็นผู้ดำเนินการจัดซื้อ
ทั้งนี้ มีการเปิดเผยว่าการทำ MOU นั้น จะทำกับ บริษัท เสิ่นเจิ้น สโคป ไซแอนทิฟิก ดีเวลลอปเมนต์ (Shenzhen Scope Scientific Development Co,Ltd) ที่ทางการจีนให้การรับรอง เรื่องคุณภาพ ในการทำสัญญากับรัฐบาลไทย และมีสาระสำคัญในเรื่องการประกันสินค้าระหว่างการจัดส่ง และอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกา และคณะกรรมาธิการว่าด้วยการพัสดุให้ความเห็น ทั้งนี้ ขั้นตอนจากนี้ไป จะทำการร่างสัญญา การจัดซื้อ ให้เป็นไปตาม มติ ครม.ก่อนส่งให้ อัยการสูงสุดพิจารณา ตามขั้นตอน คาดว่า จะเรียบร้อยภายในสิ้นเดือนนี้
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าประมาณ 2-3 สัปดาห์ มีข่าวออกมาเป็นระลอกว่าจะมีการนำเสนอวาระแท็บเล็ตเข้าสู่ที่ประชุม ครม.โดยจะนำเสนอรายชื่อบริษัท 4 แห่งที่คณะกรรมการจัดซื้อแท็บเล็ต ได้เดินทางไปดูโรงงาน และฐานการผลิตถึงประเทศจีน และได้ให้คะแนนแต่ละบริษัท ซึ่งในจำนวน 4 บริษัทนั้น บริษัท เสิ่นเจิ้น สโคป ที่จะมีการทำ MOU กันในเร็ววันนี้ ได้รับคะแนนสูงสุด เพราะถือว่าตอบโจทย์ทั้งสเปก คุณสมบัติที่ต้องการและราคาตรงใจ อยู่ที่ประมาณ 81 เหรียญสหรัฐฯ เป็นเงินไทยประมาณ 2,100 บาท แต่ท้ายสุดก็ไม่มีการนำเสนอแต่อย่างใด
คาดว่า การเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดซื้อครั้งนี้ น่าจะเป็นผลจากการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบาย 1 คอมพิวเตอร์แท็บเล็ต ต่อ 1 นักเรียน ที่มี ศ.ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน มี น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.ไอซีที ได้มีการประชุมกันอย่างเคร่งเครียด เมื่อวันที่ 14 มีนาคม ที่ผ่านมา แม้ภายหลังการประชุมจะมอบหมายให้ น.อ.อนุดิษฐ์ รับหน้าที่แถลงผลต่อที่ประชุมก็ตามแต่เนื้อความในการแถลงข่าวครั้งนั้น ก็ยังยืนยันจะดำเนินการแบบจีทูจี อยู่ก็ตาม และระบุว่า เป็นเพียงการรับทราบผลการดำเนินการคัดเลือกของคณะกรรมการจัดซื้อแท็บเล็ต และในส่วนของรัฐบาลไทยถือว่าสิ้นสุดแล้ว และไม่ขอเปิดเผยรายชื่อบริษัทจนกว่าประเทศจีนจะให้คำตอบ
จนกระทั่งก่อนหน้าการประชุม ครม.สัญจร 1 วัน ศ.ดร.สุชาติ ที่ยืนยันมาตลอดว่า การจัดซื้อแบบจีทูจีนั้นเหมาะสม และทำให้เกิดความโปร่งใส ก็ได้ให้สัมภาษณ์ ว่า “จะเสนอ ครม.ปรับเปลี่ยนวิธีการจัดซื้อแท็บเล็ต จากระบบจีทูจี มาเป็นการลงนามใน MOU แทน นั่นเพราะการจัดซื้อระบบจีทูจี แต่ละหน่วยงานให้คำจำกัดความไม่เหมือนกัน บางหน่วยงานเห็นว่าจะต้องมีความเข้มกว่านี้ โดยรัฐบาลจะต้องเอาแท็บเล็ตมาส่งให้แก่รัฐบาลไทย ซึ่งจะให้รัฐบาลจีนมารับผิดชอบและรับประกันบริษัทที่ได้รับเลือกคงทำไม่ได้ แต่รัฐบาลจีนจะคอยช่วยเหลือและดูแลให้ และที่สำคัญการจัดซื้อด้วยวิธี MOU จะเป็นการป้องกันการวิ่งเต้นติดสินบนในการประมูลด้วย”
สำหรับเนื้อหาหลักสูตรที่เป็นหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงของ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะได้จัดเตรียมเรียบร้อย 100% แล้วใน 5 กลุ่มสาระวิชา คือ คณิตศาสตร์ อังกฤษ ไทย สังคมศึกษา และวิทยาศาสตร์ ซึ่งจะเน้นรูปแบบ Learning Object และ e-book ซึ่งใช้พื้นที่ความจำเพียง 4 กิกะไบต์ จาก 8 กิกะไบต์ ได้ส่งมอบให้ทางบริษัทเป็นผู้ผลิตบรรจุลงเครื่องและเมื่อได้รับการจัดส่งล็อตแรก อย่างต่ำจำนวน 2,000 เครื่อง หรือมากกว่านั้นที่จะมาในช่วงปิดเทอมนี้ ก็จะถูกนำมาทดสอบประสิทธิภาพ และนำไปใช้อบรมพัฒนาครูแกนนำให้เป็นหน่วยเสริมกระจายไปให้ความรู้แก่ครูอื่นๆ เพื่อจะได้ใช้งานสอนหนังสือได้จริง
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของการแจกแท็บเล็ตของรัฐบาลนั้นยังไม่หยุดแค่ระดับ ป.1 เท่านั้น แต่มีแนวคิดจะกระจายไปสู่ระดับอื่นๆ โดยเป้าหมายต่อไป คือ ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 ด้วย แต่ทว่า..กว่าจะได้บทสรุปแนวทางการจัดซื้อจากระบบ จีทูจี มาสู่บทสรุปของการลงนาม MOU นั้น แนวทางการดำเนินการนโยบายแท็บเล็ตก็ใช้เวลาหลายแดดหลายฝน กว่าจะออกผลมาเป็นรูปเป็นร่าง ไม่รู้ว่าการเจรจานั้นต่อรองเพื่อผลประโยชน์ของเด็กไทย หรือเพื่อผู้ใหญ่ของใคร แต่ที่แน่จะจัดซื้อและส่งแท็บเล็ต ให้ ศธ.กระจายไปถึงมือนักเรียน ป.1 ทันใช้เปิดเทอม พ.ค.นี้หรือไม่ ต้องรอดูกันต่อไป
วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555
ความเป็นมาของการแกะสลัก
ความเป็นมาของการแกะสลัก
การแกะสลักผักและผลไม้เริ่มปรากฏในวังมาก่อนตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ปรากฏร่องรอยตามพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เช่น กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน กาพย์เห่ชมผลไม้ บทละครเรื่องสังข์ทอง เป็นต้น การแกะสลักผักและผลไม้ บางทีเรียกว่า การทำเครื่องสด เป็นงานที่ต้องอาศัยความประณีต อดทน และละเอียดอ่อนในการทำ เป็นศิลปวัฒนธรรมที่มีมาแต่สมัยโบราณ จัดเป็นศิลปะประจำชาติซึ่งควรค่าแก่การส่งเสริมและอนุรักษ์ไว้เป็นสมบัติของชาติ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาหาความรู้และมีความภาคภูมิใจในภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ตลอดจนสามารถสร้างสรรค์งานแขนงนี้สืบไป
อุปกรณ์การแกะสลัก
1. มีดบางใช้ปอก เกลา ปาดผลไม้เพื่อเตรียมแกะสลัก
2. มีดแกะสลักหรือมีดคว้านปลายแหลมเรียวเล็ก คมบาง ใช้สำหรับคว้านแกะสลักเซาะ
ให้เป็นร่อง
ให้เป็นร่อง
3. หินลับมีดหรือกระดาษทรายละเอียดใช้สำหรับลับมีดเพื่องานแกะสลัก
4. ผ้าเช็ดมือ และผ้ากันเปื้อน
วิธีการแกะสลัก
อันดับแรกเรามาลองแกะแตงโมดู ลูกนี้ซื้อมา 15 บาทค่ะ ต้องเลือกสดๆหน่อย
เริ่มต้นจากการปอกเปลือกสีเขียวแข็งออกก่อน 2 ใน3 ของลูกนะดูภาพประกอบ แล้วเกลาให้เรียบ
ประวัติความเป็นมาของการแกะสลักผักและผลไม้
ประวัติความเป็นมาของการแกะสลักผักและผลไม้
การแกะสลักผักและผลไม้ เป็นการแสดงออกทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติไทยเลยทีเดียว ซึ่งไม่มีชาติใดสามารถเทียมได้ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดในปัจจุบันนี้เห็นจะเป็นเรื่องของการอนุรักษ์ศิลปะแขนงนี้ที่มีแนวโน้มจะสูญหายไปหรือลดน้อยลงไปเรื่อย
การแกะสลักผักและผลไม้เดิมเป็นวิชาการขั้นสูงของกุลสตรีในรั้วในวัง ต้องฝึกฝนและเรียนรู้จนเกิดความชำนาญบรรพบุรุษของไทยเราได้มีการแกะสลักกันมานานแล้ว แต่จะเริ่มกันมาตั้งแต่สมัยใดนั้น ไม่มีผู้รู้เนื่องจากไม่มีหลักฐานแน่ชัด จนถึงสมัยสุโขทัยเป็นราชธานี ในรัชสมัยของสมเด็จพระร่วงเจ้า ได้มีนางสนมคนหนึ่งชื่อ นางนพมาศ หรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ได้แต่งหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือนางนพมาศขึ้น และในหนังสือเล่มนี้ ได้กล่าวถึงพิธีต่าง ๆ ไว้ และพิธีหนึ่ง เรียกว่า พระราชพิธีจองเปรียงในวันเพ็ญเดือนสิบสอง เป็นนักขัตกฤษ์ชักโคมลอย นางนพมาศได้คิดตกแต่งโคมลอยให้งามประหลาดกว่าโคมของพระสนมทั้งปวง ได้เลือกผกาเกสรสีต่าง ๆ ประดับเป็นรูปดอกกระมุทบานกลีบรับแสงพระจันทร์ ล้วนแต่พรรณของดอกไม้ซ้อนสีสลับให้เป็นลวดลายแล้วจึงนำเอาผลพฤกษาลดาชาติ มาแกะสลักเป็นระมยุระคณานกวิหคหงส์ให้จับจิกเกสรบุปผาชาติอยู่ตามกลีบดอกกระมุท เป็นระเบียบร้อยวิจิตรไปด้วยสีย้อมสดส่ง ควรจะทอดทัศนายิ่งนัก ทั้งเสียบแซมเทียนธูปและประทับน้ำมันเปรียงเจือด้วยไขข้อระโค (กรมศิลปากร, 2531 : 97 – 98) จึงได้มีหลักฐานการแกะสลักมาตั้งแต่สมัยนั้น
ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงโปรดการประพันธ์ยิ่งนัก พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์กาพย์แห่ชมเครื่องคาวหวาน และแห่ชมผลไม้ได้พรรณนา ชมฝีมือการทำอาหาร การปอกคว้านผลไม้ และประดิดประดอยขนมสวยงาม และอร่อยทั้งหลาย ว่าเป็นฝีมืองามเลิศของสตรีชาววังสมัยนั้น พระราชนิพนธ์กาพย์แห่ชมเครื่องคาวหวานตอนหนึ่งว่า
น้อยหน่านำเมล็ดออก ปล้อนเปลือกปอกเป็นอัศจรรย์
มือใครไหนจักทัน เทียบเทียมที่ฝีมือนาง
ผลเงาะไม่งามแงะ มล่อนเมล็ด และเหลือปัญหา
หวนเห็นเช่นรจนา จำเจ้าเงาะเพราะเห็นงาม (กรมวิชาการ, 2530 : 17)
และทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่อง สังข์ทอง พระองค์ทรงบรรยายตอนนางจันทร์เทวี แกะสลักชิ้นฟักเป็นเรื่องราวของนางกับพระสังข์ นอกจากนั้นยังมีปรากฏในวรรณกรรมไทยแทบ ทุกเรื่อง เมื่อเอ่ยถึงตัวนางซึ่งเป็นตัวเอกของเรื่องว่า มีคุณสมบัติของกุลสตรี เพรียกพร้อมด้วยฝีมือการปรุงแต่งประกอบอาหารประดิดประดอยให้สวยงามทั้งมีฝีมือในการประดิษฐ์งานช่างทั้งปวง ทำให้ทราบว่า กุลสตรีสมัยนั้นได้รับการฝึกฝนให้พิถีพิถันกับการจัดตกแต่งผัก ผลไม้ และการปรุงแต่งอาหารเป็นพิเศษ จากข้อความนี้น่าจะเป็นที่ยืนยันได้ว่า การแกะสลักผัก ผลไม้ เป็นศิลปะของไทยที่กุลสตรีในสมัยก่อนมีการฝึกหัด เรียนรู้ผู้ใดฝึกหัดจนเกิดความชำนาญ ก็จะได้รับการยกย่อง
ปัจจุบันวิชาการช่างฝีมือเหล่านี้ ถูกบรรจุอยู่ในหลักสูตร ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษา มัธยมศึกษามาจนถึงอุดมศึกษาเป็นลำดับ ประกอบกับรัฐบาลและภาคเอกชนได้ให้การสนับสนุน จึงมีการอนุรักษ์ศิลปะต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะการแกะสลักผลงานประเภทเครื่องจิ้ม จนกระทั่งงานแกะสลักได้กลายเป็นสิ่งที่ต้องประดิษฐ์ ตกแต่งบนโต๊ะอาหารในการจัดเลี้ยงแขกต่างประเทศ ตามโรงแรมใหญ่ ๆ ภัตตาคาร ตลอดจนร้านอาหาร ก็จะใช้งานศิลปะการแกะสลักเข้าไปผสมผสานเพื่อให้เกิดความสวยงาม หรูหรา และประทับใจแก่แขกในงาน หรือสถานที่นั้น ๆ งานแกะสลักผลไม้ จึงมีส่วนช่วยตกแต่งอาหารได้มาก คงเป็นเช่นนี้ตลอดไป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)